ความหมายอันน่าสะพรึงของ Yubikiri Genman มีความหมายอย่างไรนั้นไปดูกันเลย “ゆびきりげんまん♪ 嘘ついたらはりせんぼん飲〜ますっ♪ 指きったっ♪”“Yubikiri Genman♪ Uso Tsuitara Hari Senbon Nomasu♪ Yubi Kitta♪” คือเนื้อเพลงเกี่ยวก้อยสัญญา “ยูบิคิริ เก็นมัง” ของเด็กญี่ปุ่นที่คุณอาจเคยได้ยินมาจากในซีรีส์ละครหรือการ์ตูนอนิเมะ ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น เมื่อเด็ก ๆ จะสัญญาบางสิ่งกับเพื่อนหรือพ่อแม่ก็มักจะร้องเพลงนี้ในระหว่างเกี่ยวนิ้วก้อยกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายรักษาคำสัญญาที่ตกลงกันเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ความจริงนั้น ใครจะรู้ว่าความหมายของเนื้อเพลงและการเกี่ยวก้อยสัญญา “ยูบิคิริ เก็นมัง” มันน่ากลัวเพียงใด ย้อนกลับไปในสมัยเอโดะ หญิงขายบริการในย่านนางโลมยุคนั้นมักนิยมส่งจดหมายถึงชายผู้ซื้อบริการที่เธอรักและคิดถึงมากเป็นพิเศษ เพื่อเป็นหลักฐานแทนใจแสดงความคิดถึงต่อชายคนนั้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเธอบางคนยังยอมตัดปลายนิ้วก้อยของตนเองแนบส่งไปด้วย เพื่อแสดงออกถึงความรักและเป็นเครื่องยืนยันว่ารักนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง โดยแฝงความหมายไว้ว่า “แม้มันจะเจ็บปวด แต่ขอให้รู้ว่าฉันรักคุณมากขนาดไหน” แต่อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมดังกล่าวเป็นเพียงเทคนิคการเรียกลูกค้าให้กลับมาใช้บริการพวกเธออีกครั้งเพียงเท่านั้น มีหญิงขายบริการน้อยคนนักที่จะยอมตัดปลายนิ้วก้อยของเธอออกจริง ๆ ส่วนใหญ่มักจะส่งนิ้วปลอมให้แทน และจากนั้นมา “ยูบิคิริ” (指切) หรือการตัดนิ้ว ก็แพร่หลายสู่คนทั่วไปมากขึ้น และเปลี่ยนแปลงเป็นขนมธรรมเนียมการเกี่ยวนิ้วก้อยสัญญา หรือ “ยูบิคิริ” (ゆびきり) เพื่อแสดงออกถึงการรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน ส่วนความหมายของคำว่า “เก็นมัง” (げんまん) มาจากอักษรคันจิที่เขียนว่า “拳万” (เก็นมัง) หมายถึง… Read more »
ทำไมกาสามขาถึงเป็นโลโก้ของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น เพราะอะไรนั้นไปดูกันเลย ใครที่เป็นคอบอลเจลีคหรือแฟนซามูไรสีน้ำเงินก็จะคุ้นตากับโลโก้น้องกาของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นหรือ JFA กันเป็นอย่างดี ถ้าพูดถึงอีกาคงหนีไม่พ้นภาพลักษณ์ด้านลบ แต่ถ้าลองมองดีๆ จะเห็นว่าน้องไม่ใช่กาธรรมดา เพราะน้องเป็นกาสามขาค่ะ! น้องพิเศษอย่างไร ทำไมสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นถึงเลือกน้องมาเป็นโลโก้ หาคำตอบได้ในบทความนี้ค่ะ สาเหตุที่สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นเลือกกาสามขาเป็นสัญลักษณ์สมาคม ก็เพื่อเป็นเกียรติให้กับคุณ “คาคุโนะสุเกะ นากามูระ” (Kakunosuke Nakamura) บิดาแห่งวงการลูกหนังญี่ปุ่นนั่นเอง คุณคาคุโนะสุเกะมีชีวิตระหว่างค.ศ. 1878 – 1906 เกิดที่เมืองนาชิ (ปัจจุบันคือเมืองนาชิคัตสึอุระ) จังหวัดวาคายามะ ต่อมาได้เข้ามาศึกษาในกรุงโตเกียว และในค.ศ. 1902 และได้ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นตอนอยู่ปีสี่ ที่ Tokyo Higher Normal School ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของฟุตบอลญี่ปุ่น ค.ศ. 1931 สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นกำหนดให้มีสัญลักษณ์ของสมาคมและได้ข้อสรุปว่า “จะเลือกจากสิ่งที่มีความเกี่ยวพันกับคุณคาคุโนะสุเกะ” ซึ่งบ้านเกิดของคุณคาคุโนะสุเกะมีตำนานเกี่ยวกับ “จักรพรรดิจิมมุ” ปฐมจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ตำนานระบุว่าหลังจากจิมมุได้รับชัยชนะที่คุมาโนะ (ตั้งอยู่ในจังหวัดวากายามะ) เทวีสุริยา “อามาเทราสึ” เทพหลักของศาสนาชินโตได้ส่ง “ยาตาการะสุ” (Yatagarasu) กาสามขาผู้รับใช้ลงมาช่วยชี้ทางให้จิมมุไปยังดินแดนยามาโตะ (แถบจังหวัดนาราในปัจจุบัน) เพื่อสร้างอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่นและเป็นจุดกำเนิดของญี่ปุ่นอีกด้วย ทำให้คนญี่ปุ่นมองว่ากาสามขาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญในการสร้างชาติญี่ปุ่น ยาตาการะสึเป็นเทพผู้นำทาง แปลชื่อเป็นไทยได้ว่า “กาแปดช่วง” โดยหนึ่งช่วงนับจากนิ้วโป้งถึงนิ้วกลาง (ประมาณ 18… Read more »
ที่มาและความหมายของเสียงตะโกน TAMAYA เวลาดูดอกไม้ไฟของคนญี่ปุ่น มีความหมายว่าอย่างไรนั้นไปดูกันเลย หากใครเคยมีประสบการณ์ไปชมดอกไม้ไฟที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วละก็ อาจจะเคยมีประสบการณ์ ได้ยินคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะเด็ก ๆ ญี่ปุ่นร้องตะโกนคำว่า “Ta Maya~” หรือ “Ka Giya~” ทุกครั้งเมื่อมีดอกไม้ไฟชุดใหญ่ถูกจุดขึ้นสู่บนท้องฟ้า คราวนี้เราจะมาเล่าถึงที่มา และความหมายของเสียงตะโกนเวลาชมดอกไม้ไฟของชาวญี่ปุ่นให้ฟังกัน หลาย ๆ ครั้งที่เราได้มีโอกาสไปชมความงามของดอกไม้ไฟที่เทศกาลดอกไม้ไฟในประเทศญี่ปุ่น เราอาจจะเคยได้ยินคนญี่ปุ่นรอบ ๆ ตัวร้องตะโกนคำว่า “Ta Maya~” หรือนาน ๆ ครั้งก็จะได้ยินคำว่า “Ka Giya~” กันใช่ไหมละ สำหรับความหมายและที่มาของคำร้องตะโกนดังกล่าวก็คือ ทั้ง 2 คำนั้น เป็นชื่อของร้านช่างทำดอกไม้ไฟที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในอดีตที่มีชื่อว่า ร้าน Tamaya (玉屋) และร้าน Kagiya (鍵屋) นั่นเอง ในช่วงยุคปี 1700 ที่กรุงโตเกียวของญี่ปุ่น มีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟที่มีชื่อว่า Ryokoku Kawabiraki หรือที่ในปัจจุบันรู้จักกันในชื่อเทศกาลดอกไม้ไฟ Sumidagawa นั่นเอง ในยุคนั้นร้านช่างทำดอกไม้ไฟที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากมีชื่อว่า ร้าน Kagiya ต่อมาราวปีค.ศ. 1808… Read more »
ไขข้องใจทำไมไอดอลญี่ปุ่นมักไว้หน้าม้า จะเป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย เชื่อว่าคนไทยหลาย ๆ คนชื่นชอบไอดอลญี่ปุ่น และคอยติดตามเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็น มัตสึดะ เซโกะ มอร์นิงมุซุเมะ หรือ AKB48 ถ้าสังเกตจะพบว่าพวกเธอเหล่านี้มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ทุกคนไว้ “ผมหน้าม้า” เรียกได้ว่าไอดอลญี่ปุ่นไว้ผมหน้าม้ากันแทบทุกคน ในขณะที่ไอดอลฝั่งเกาหลีกลับไม่ค่อยไว้ผมหน้าม้ากันเท่าไหร่ เคยสงสัยไหมคะว่าเพราะอะไร วันนี้เราจะพาไปไขข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้จากการสอบถามอดีตไอดอลและช่างตัดผมกัน คุณอายะ อดีตไอดอลใต้ดิน (ไอดอลที่ไม่ได้เปิดตัวกับค่ายเพลงและไม่ค่อยเป็นที่โด่งดัง) ที่ทั้งร้องทั้งเต้นและจับมือกับแฟน ๆ ในย่านอะคิฮาบาระและอิเคะบุคุโระตั้งแต่อายุ 19 ถึง 22 และจบการศึกษาจากวงเมื่อปี 2019 เนื่องจากทนกับการทำหน้ายิ้มตลอดไม่ไหว เล่าว่า ตัวเธอเองคิดว่าเหตุผลที่ไอดอลญี่ปุ่นมักจะไว้ผมหน้าม้าเพราะคนญี่ปุ่นชอบผู้หญิงน่ารักมากกว่าผู้หญิงสวย ซึ่งความคิดแบบนี้น่าจะมาจากทัศนคติผู้ชายเป็นใหญ่ที่มีมาแต่สมัยก่อน ตั้งแต่ยุคเมจิความคิดที่ว่าพ่อเป็นประมุขของบ้านเป็นที่แพร่หลาย ทำให้ผู้ชายมีบทบาทอย่างมากในสังคม จนเมื่อถึงยุคหลังสงครามที่นายพลแมกอาร์เธอร์เข้ามาถึงได้ยกเลิกระบอบผู้ชายเป็นใหญ่ และเริ่มรับวัฒนธรรม Lady First เข้ามา แต่ตัวผู้ชายเองคงคิดว่าการมีผู้หญิงมาปกป้องมันน่าอาย ก็เลยอยากจะแข็งแรงกว่าผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงที่ดูน่ารักเป็นที่ชื่นชอบ คนที่เป็นแฟนคลับและทุ่มเทเงินให้กับไอดอลก็เป็นผู้ชายมีอายุที่โตมาในยุคโชวะทั้งนั้น การไว้ผมม้าเพื่อให้ตัวเองดูน่ารัก จะทำให้เหล่าแฟนคลับรู้สึกอยากปกป้องไอดอลของตน เป็นเหตุให้ไอดอลญี่ปุ่นชอบไว้ผมม้าเพื่อคงความน่ารัก ดูอ่อนเยาว์เอาไว้นั่นเอง คุณอายะเล่าอีกว่าถ้าเป็นแฟนคลับผู้หญิงมักจะชอบไอดอลที่ดูเท่มากกว่า ประมาณว่าเป็นผู้หญิงที่เนื้อหอมในหมู่สาว ม. ปลาย สำหรับแฟนคลับผู้หญิงแล้ว การไม่ไว้ผมหน้าม้า การมีกล้ามท้อง และการแสดงออกที่ดูเป็นผู้ใหญ่จะเป็นที่ชื่นชอบ อย่างไอดอลเกาหลีส่วนมากจะเป็นไอดอลแนวสวยสง่าเสียมากกว่า ส่วนแฟนคลับผู้ชายวัยรุ่นที่อายุน้อยลงมาเหมือนจะไม่อินกับทัศนคติแบบเก่า ๆ… Read more »
4 พฤติกรรมของคนเมาที่คนญี่ปุ่นคิดว่ารับมือได้ยาก มีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย
รู้จักกับ คิวบะจุตสึการขึ่ม้ายิงธนู ที่ส่งผลต่อมารยาททางสังคมของคนญี่ปุ่นในปัจจุบัน มีที่มาอย่างไรนั้นไปดูกันเลย คิวบะจุตสึ (弓馬術) ประกอบด้วยตัวคันจิสามตัว ได้แก่ ยูมิ (弓) ที่แปลว่าธนู อุมะ (馬) ที่แปลว่าม้า และ วาซะ (術) ที่แปลว่าศาสตร์ พอเอามารวมกันแล้วจะแปลได้ว่าศาสตร์การขี่ม้ายิงธนูนั่นเอง คิวบะจุตสึนี้เป็นศาสตร์การต่อสู้โบราณของญี่ปุ่นที่ผู้ฝึกจะต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมาก และมีไม่กี่ที่เท่านั้นที่สามารถฝึกสอนได้ วันนี้เราจะพาไปรู้จักศาสตร์การขี่ม้ายิงธนูแขนงโอกะซะวาระริว หรือ โอกะซะวาระริว คิวบะจุตสึ (小笠原流弓馬術) ซึ่งถือเป็นแขนงหลักอันสำคัญของคิวบะจุตสึ นอกจากนี้ วิถีการฝึกฝนของโอกะซะวาระริว คิวบะจุตสึยังส่งผลถึงท่าทางและมารยาททางสังคมของคนญี่ปุ่นในปัจจุบันอีกด้วย ศาสตร์การต่อสู้จะเกี่ยวกับมารยาททางสังคมได้อย่างไร เราไปดูกัน โอกะซะวาระริว คิวบะจุตสึ คิดค้นขึ้นในสมัยคามาคุระ โดยโอกะซะวาระ นางะคิโยะ ต้นตระกูลนามสกุลโอกะซะวาระ เมื่ออายุได้ 26 ปี โอกะซะวาระ นางะคิโยะ ได้เป็นอาจารย์ผู้สอนคิวโฮ (糾方) หรือวิธีการเคารพและทักษะในการฝึกคิวบะจุตสึ และลูกหลานของเขาก็ได้สืบทอดศาสตร์แขนงนี้มารุ่นต่อรุ่น จนมีการจดบันทึกและรวบรวมศาสตร์ดังกล่าวออกมาเป็นหนังสือชื่อชูชินรง (修身論) และไทโยรง (体用論) ซึ่งได้กลายเป็นพื้นฐานการฝึกฝนที่ใช้กันในปัจจุบัน ในสมัยเมจิ มีการก่อตั้งโรงฝึกวิธีการเคารพของคิวบะจุตสึ และมีการเพิ่มวิธีการเคารพเหล่านี้ลงไปในหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนสตรีในญี่ปุ่น จนกลายมาเป็นมารยาททางสังคมที่พึงปฏิบัติในปัจจุบัน การฝึกฝนโอกะซะวาระริว คิวบะจุตสึนั้น ขอบอกว่าไม่ง่ายเลย เพราะผู้ฝึกต้องขัดเกลาทักษะด้วยกัน… Read more »
นามะฮาเกะ ประเพณียักษ์เยี่ยมบ้านแห่งจัดหวัดอาคิตะ มีความหมายว่าอย่างไรนั้นไปดูกันเลย หากพูดถึงประเพณีท้องถิ่นชื่อดังของจังหวัดอาคิตะล่ะก็ อันดับแรกที่ชาวญี่ปุ่นหลายๆ ท่านจะนึกถึงคงหนีไม่พ้น “นามะฮาเกะ” ซึ่งเป็นเป็นประเพณีอันมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ ในปี 2018 ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (intangible cultural heritage) จากยูเนสโกอีกด้วย แต่เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายท่านที่ยังไม่เคยไปเยือนจังหวัดอาคิตะ อาจจะยังไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อเทศกาลนี้มาก่อน ดังนั้น ในวันนี้ เราจะไปทำความรู้จักกับเทศกาลอันมีชื่อเสียงโด่งดังนี้กันครับ นามะฮาเกะ คือประเพณีท้องถิ่นของชาวเมืองโอกะ จังหวัดอาคิตะ ที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน เมื่อเข้าสู่ค่ำคืนของวันสิ้นปี เหล่านักแสดงของหมู่บ้านจะสวมชุดฟางและสวมหน้ากากยักษ์ที่มีหน้าตาดุร้ายซึ่งมีนามว่านามะฮาเกะ พร้อมทั้งควงมีดปังตอที่ทำจากไม้และตระเวนไปตามบ้านหลังต่างๆ เพื่อเยี่ยมเยียนคนในบ้าน เริ่มแรก ผู้ทำหน้าที่ที่เรียกว่า “ซะกิดาจิ (先立)” จะเข้าไปตรวจสอบตามบ้านหลังต่างๆ ก่อนว่า สามารถให้ยักษ์นามะฮาเกะเข้าไปเยี่ยมเยียนได้หรือไม่ เนื่องจากมีธรรมเนียมว่า หากในปีนั้นบ้านหลังใดมีคนป่วย หรือประสบเคราะห์กรรมต่างๆ ก็จะไม่เข้าไปเยี่ยมเยียนบ้านหลังนั้น เมื่อทำการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เหล่าบรรดายักษ์นามะฮาเกะก็จะเดินเข้าสู่ตัวบ้าน พร้อมทั้งส่งเสียงคำรามอันแสนน่าหวาดกลัว บางทีอาจตะโกนข่มขู่คนในบ้านว่า “บ้านหลังนี้มีเด็กคนไหนร้องไห้อยู่มั้ย !!!! บ้านหลังนี้มีคนขี้เกียจอยู่มั้ย !!!!” หลังจากนั้นก็จะเดินควงมีดปังตอไปตามส่วนต่างๆ ของบ้าน และเนื่องจากเครื่องแต่งกายที่ดูน่ากลัวประกอบกับการแสดงที่ดูสมจริง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กๆ ซึ่งอยู่ภายในบ้านจะร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งผู้ใหญ่เองก็อาจขวัญหนีดีฝ่อได้เหมือนกัน ในส่วนของเจ้าบ้านก็จะจัดเตรียมเหล้าและอาหารไว้เลี้ยงรับรองเหล่าบรรดายักษ์ที่เดินทางมาเยี่ยมเยียน หลังจากนั้นยักษ์นามะฮาเกะก็จะสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของครอบครัว เมื่อจบการสนทนาแล้ว ยักษ์นามะฮาเกะก็จะอวยพรให้คนในบ้านพบเจอแต่สิ่งดีๆ มีสุขภาพแข็งแรง… Read more »
รู้จักกับโรงเรียนสอนวิญญาณแห่งความเป็นมิโกะ จะเป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากต้องแสวงหาอาชีพเสริมเพื่อสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ โดยหนึ่งในอาชีพเสริมที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้หญิงก็คืออาชีพมิโกะนั่นเอง คุณโมโมยะมะ คิโยชิ ผู้สืบทอดรุ่นที่ 7 แห่งศาลเจ้าเนไกโนะมิยะ จังหวัดโอซาก้า จึงได้เปิดโรงเรียนสอนการเป็นมิโกะขึ้นที่ศาลเจ้าของตนเอง เพื่อฝึกหัดหญิงเหล่านั้นให้เป็นมิโกะที่สมบูรณ์แบบ ว่าแต่ที่โรงเรียนมิโกะแห่งนี้เค้าทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง และเหตุใดหญิงที่ใฝ่ฝันจะเป็นมิโกะจึงควรมาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เราจะไปฟังคำตอบจากคุณโมโมยะมะ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้กันครับ ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับโรงเรียนแห่งนี้ ผมจะขอแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกับมิโกะสักเล็กน้อย มิโกะ คือ หญิงสาวที่สวมเครื่องแต่งกายสีขาวแดง ทำหน้าที่จำหน่ายเครื่องราง คอยต้อนรับดูแลผู้คนที่เข้ามากราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าชินโต และยังทำหน้าที่แสดงระบำคากุระ หรือระบำบวงสรวงเทพเจ้าตามความเชื่อของศาสนาชินโตอีกด้วย คุณโมโมยะมะกล่าวว่า วัตถุประสงค์ที่ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมา ไม่ใช่แค่ต้องการให้ผู้เรียนเป็นมิโกะที่สมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียว แต่เรามุ่งมั่นให้ผู้เรียนกลายเป็นบุคลากรอันทรงคุณค่าของสังคมด้วย โดยที่โรงเรียนแห่งนี้จะมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของศาสนาชินโต และยังมีการฝึกภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการทำพิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อของศาสนาชินโตอีกด้วย คุณโมโมยะมะกล่าวต่อว่า การเป็นมิโกะไม่ใช่เพียงแค่การสวมเครื่องแต่งกายของมิโกะเท่านั้น แต่ต้องเรียนรู้จิตวิญญาณแห่งการเป็นมิโกะให้ถ่องแท้ด้วย ซึ่งจิตวิญญาณที่ว่านั้นก็คือ หลักคำสอนสามประการของศาสนาชินโตที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ ได้แก่ การเคารพบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษการระลึกถึงชีวิตที่เทพเจ้าได้มอบให้ และการใช้ชีวิตให้มีความสุขโดยระลึกถึงคุณงามความดีของเทพเจ้าอยู่เสมอในการทำงานหรือการใช้ชีวิตในสังคมยุคปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักพึ่งพาแต่ตัวเองโดยไม่เคยหันมองผู้คนที่อยู่รอบกาย แต่หากได้เรียนรู้จิตวิญญาณแห่งการเป็นมิโกะแล้ว ความคิดและมุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ ก็จะกว้างขึ้น และยังส่งผลให้ตัวผู้เรียนเริ่มหันมาใส่ใจผู้คนและสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการทำงานและการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม แน่นอนว่าอาจมีคนญี่ปุ่นหลายท่านที่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย แต่ความจริงแล้วศาสนาชินโตคือศาสนาที่กำเนิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น หลักคำสอนต่างๆ จึงแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นทุกคนอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น เรามักได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ต้องมีใครสักคนเห็นการกระทำของเราอยู่แน่ๆ ดังนั้น จงทำแต่เรื่องดีๆ เถอะ”… Read more »
รู้จักดวงดาว 2 ดวงซึ่งเกี่ยวข้องกับเทศกาลทานาบาตะ มีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย ทุกวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดของทุกปี (ปัจจุบันคือวันที่ 7 เดือนกรกฎาคม) ในญี่ปุ่นจะมีเทศกาลชื่อว่า ทานาบาตะ (七夕) หรือเทศกาลแห่งดวงดาว ซึ่งในวันนี้จะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น เขียนคำอธิฐานแล้วนำไปผูกไว้กับกิ่งไผ่ที่จัดไว้ตามสถานที่ต่างๆ การรับประทานโซเม็ง และการไปเที่ยวงานเทศกาลทานาบาตะ เป็นต้น มารู้ตำนานของเทศกาลทานาบาตะและดวงดาวที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้กัน ทานาบาตะเป็นเทศกาลที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีนโดยมีตำนานความเชื่อว่าดาวสองดวง ซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าหญิงนักทอผ้าธิดาของเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า คือ โอริฮิเมะ (Orihime) และชายเลี้ยงวัว คือ ฮิโกโบชิ (Hikoboshi) ได้พบรักและแต่งงานอยู่กินกันอย่างมีความสุขจนลืมทำหน้าที่ของตน เจ้าหญิงละเลยหน้าที่ไม่ทอผ้าให้ผู้เป็นบิดา ส่วนฮิโกโบชิก็ไม่ยอมไปเลี้ยงวัว ทำให้วัวเดินเพ่นพ่านไปทั่ว สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนบนแดนสวรรค์ เมื่อเทพเจ้าแห่งท้องฟ้ารู้เข้าก็โกรธมากและสั่งทำโทษทั้งคู่ให้พรากจากกันตลอดกาลโดยมีแม่น้ำสวรรค์หรือทางช้างเผือกกั้นขวางทั้งคู่ไว้ อย่างไรก็ดี ด้วยความสงสารธิดา เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าทรงอนุญาตให้ทั้งคู่มาพบกันได้เพียงปีละ 1 ครั้ง คือ ค่ำคืนของวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด ที่ทั้งคู่ต้องเดินทางข้ามแม่น้ำแห่งสวรรค์ที่ชื่ออามาโนะกาวาเพื่อมาพบกัน ทุกปีฝูงนกกางเขนอาสาใช้ปีกเป็นสะพานให้เจ้าหญิงเดินข้ามไปพบคนรัก หากปีไหนที่ฝนตกฝูงนกกางเขนไม่สามารถมาพาเจ้าหญิงข้ามแม่น้ำแห่งสวรรค์ได้ ทั้งคู่ก็จะต้องรออีกปีเพื่อพบกัน วันนี้จึงเป็นวันที่คนญี่ปุ่นอธิษฐานขอให้อากาศดีเพื่อให้ดาวทั้งคู่ได้โคจรมาพบกันอย่างสมหวังตามที่รอคอย เมื่อขอพรให้เจ้าหญิงและชายคนรักแล้ว คนญี่ปุ่นก็ถือโอกาสขอพรให้ตัวเองและครอบครัวสมหวังในเรื่องต่างๆ ไปด้วย ดาวบนท้องฟ้าที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้ได้แก่ ดาวเวกา (Vega, ベガ) ตัวแทนของเจ้าหญิงโอริฮิเมะ เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างสุกใสเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มดาวพิณและสว่างเป็นอันดับ 4 บนท้องฟ้า ดาวดวงนี้เคยเป็นดาวเหนือของโลกเมื่อ… Read more »
รู้จักสาเกต่างๆ ในวัฒนธรรมการดื่มของญี่ปุ่น มีอะไรบ้างไปดูกันเลย หลาย ๆ ท่านที่รับชมสื่อจากญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูน อาจจะคุ้นชินกับฉากร้านอาหารที่จะต้องมีเหล้าเบียร์เครื่องดื่มมึนเมาต่าง ๆ ประกอบอยู่ในฉากอยู่บ่อย ๆ ราวกับเป็นวิถีชีวิตประจำวันปกติของชาวญี่ปุ่น ซึ่งก็ต้องขอยืนยันว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบนี้เป็นวิถีชีวิตหนึ่งของญี่ปุ่นจริง ๆ ถึงขั้นมีคำศัพท์ว่า “โนะมินิเกชั่น (飲みニケーション)” ที่แปลว่า การสื่อสารโดยการดื่ม กันเลยทีเดียว โนะมินิเกชั่นมีรากศัพท์จาก โนะมุ (飲む) ที่แปลว่าดื่ม และ นิเกชั่น จากคำว่า คอมมิวนิเกชั่น (Communication) ที่มีความหมายว่าการสื่อสาร เนื่องจากสังคมญี่ปุ่นมีความผูกมัดและระเบียบเคร่งครัด เมื่อเลิกงานแล้วการไปดื่มให้มึนเมาจึงทำให้เปิดอกคุยกันได้มากขึ้นกว่าสถานที่ที่เป็นทางการอย่างในบริษัท การโนะมินิเกชั่นจึงเป็นพื้นที่สำหรับสร้างสัมพันธภาพที่ดีขึ้นกับเพื่อนร่วมงาน และเปิดอกคุยกันในหลายเรื่อง ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า สาเก (ออกเสียงญี่ปุ่นว่า ซะเกะ: 酒) ที่จริงคำนี้มี 2 ความหมาย ความหมายกว้าง ๆ หมายถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด แต่ถ้าความหมายแคบจะหมายถึงเหล้าญี่ปุ่น หรือที่เรียกอีกอย่างว่า นิฮนชุ (日本酒) ปรากฏการณ์คล้ายกับคำว่า “เนื้อ” ในภาษาไทย ถ้าเป็นคนกินเจหรือมังสวิรัติ เนื้อจะมีความหมายกว้าง ๆ ว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิด แต่ถ้าความหมายแคบจะหมายถึงเนื้อวัวนั่นเอง การจะเข้าใจสังคมญี่ปุ่น โดยเฉพาะสังคมคนทำงาน ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์จึงจำเป็นมาก เรามาดูชนิดของเครื่องดื่มที่ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มกัน… Read more »