รู้หรือไม่? เหตุใดคนญี่ปุ่นถึงพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้

      Comments Off on รู้หรือไม่? เหตุใดคนญี่ปุ่นถึงพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้

รู้หรือไม่? เหตุใดคนญี่ปุ่นถึงพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เป็นเพราะอะไรนั้นไปดูกันเลย ภาษาอังกฤษ ภาษากลางที่ใช้สื่อสารกันทั่วโลกในแทบทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การเจรจาทางธุรกิจ หรือการดำเนินกิจการระหว่างประเทศก็มักจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการสื่อสารเสมอ ประเทศญี่ปุ่นแม้จะเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกทั้งในด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการท่องเที่ยว แต่กลับมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงสงสัยใช่ไหมครับว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ดังนั้นวันนี้ เราจะไปหาคำตอบนั้นกันครับ แต่เดิมคนญี่ปุ่นจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ช่วงมัธยมตั้น แต่พอเข้าสู่ปี 2011 ทางรัฐบาลก็ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษใหม่ โดยบังคับให้โรงเรียนต้องมีการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษในเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 5 แต่หลังจากนั้น พอเข้าสู่ปี 2020 ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายอีกครั้ง โดยบังคับให้ต้องมีการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษในเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 3 โดยจะเน้นไปที่การเรียนการสอนผ่านเกมหรือเพลงเป็นหลัก เพื่อให้เด็กๆ คุ้นชินกับภาษาอังกฤษไปทีละนิด โดยไม่เน้นการสอบวัดผลการเรียน หลังจากนั้นตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 5 เป็นต้นไป จะเริ่มมีการเรียนการสอนที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยแต่ละโรงเรียนต้องใช้ตำราเรียนตามที่รัฐบาลกำหนดไว้และจะมีการสอบวัดผลการเรียนด้วย 1. เพราะคนญี่ปุ่นเน้นความสมบูรณ์แบบคนญี่ปุ่นจำนวนมากจะมีคติว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องทำให้สมบูรณ์แบบและห้ามผิดพลาด ดังนั้น หากเจ้าตัวรู้สึกว่าสำเนียงการออกเสียงยังไม่ค่อยชัดเจน หรือไม่แม่นยำในเรื่องการใช้ไวยากรณ์ ก็ไม่ค่อยอยากจะสื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพราะการให้คู่สนทนาฟังการพูดภาษาอังกฤษที่อาจเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดและขาดความสมบูรณ์แบบนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ 2. เพราะการพูดผิดมันเป็นเรื่องน่าอายคนญี่ปุ่นจำนวนมากคิดว่าถ้าออกเสียงหรือเรียบเรียงโครงสร้างประโยคผิด คงจะถูกหัวเราะเยาะหรือถูกล้อเลียนแน่ๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าอายมากๆ หรือหากกล่าวอีกแง่หนึ่งก็คือใส่ใจความรู้สึกของคู่สนทนามากจนเกินไปนั่นเอง ไม่ใช่แค่กับคนญี่ปุ่นด้วยกันเท่านั้น กับคนต่างชาติก็เช่นกัน สุดท้ายจึงขาดความกล้าที่จะสนทนาแม้กระทั่งประโยคพื้นฐาน และทำให้สูญเสียโอกาสในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตนด้วย 3. เพราะความแตกต่างของไวยากรณ์โดยพื้นฐานแล้ว ภาษาญี่ปุ่นจะเรียงโครงสร้างประโยคแบบ ประธาน กรรม กริยา แต่สำหรับภาษาอังกฤษจะเรียงโครงสร้างประโยคแบบ… Read more »

รู้ไว้ใช่ว่า ภาษาญี่ปุ่น 6 คำ ที่ผู้ชายญี่ปุ่นใช้เรียนภรรยา เวลาคุยกับคนอื่น

      Comments Off on รู้ไว้ใช่ว่า ภาษาญี่ปุ่น 6 คำ ที่ผู้ชายญี่ปุ่นใช้เรียนภรรยา เวลาคุยกับคนอื่น

รู้ไว้ใช่ว่า ภาษาญี่ปุ่น 6 คำ ที่ผู้ชายญี่ปุ่นใช้เรียนภรรยา เวลาคุยกับคนอื่น มีคำว่าอะไรบ้างไปดูกันเลย สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน โดยเฉพาะท่านที่เป็นผู้ชาย (อะแฮ่ม) ท่านเคยสังเกตไหมครับว่าเวลาที่ท่านพูดถึงคู่ครอง พูดถึงคนที่บ้านของท่านให้คนอื่นฟัง ท่านใช้คำนามเรียกขานคู่ครองของท่านว่าอะไร? สำหรับคนไทย เรามีคำอยู่หลักๆ สามคำสามระดับ “เมีย” เป็นคำไทย ที่ฟังดูบ้านๆ แต่บางครั้งด้วยความที่คำนี้ถูกใช้สื่อความหมายในทางหยาบโลน (เกี่ยวกับเซ็กซ์ เพศสัมพันธ์) ชายไทยหลายคนจึงหันมาใช้คำยืมภาษาอังกฤษคือคำว่า “แฟน” เพื่อสื่อความแบบเป็นคำกลางๆ คือไม่หยาบหรือดูชาวบ้านมากไป และไม่ฟังเป็นทางการมากเกินไปเหมือนคำว่า “ภรรยา” ซึ่งจริงๆ แล้วมาจากภาษาสันสกฤตว่า ภารฺยา (ซึ่งเมื่อบิดเสียงไปตามสำเนียงภาษาบาลีว่า “ภริยา” จะกลายเป็นคำยกย่องหมายถึงภรรยาของคนใหญ่คนโตหรือคนที่ต้องให้ความเคารพไปเสีย ทั้งที่จะว่าไปแล้ว ภรรยา ก็ดี ภริยา ก็ดี ล้วนเป็นคำเดียวกัน เพียงแต่ต่างสำเนียงภาษาเท่านั้นเอง) แต่ผู้ชายญี่ปุ่นสมัยนี้ มีคำนามเรียกขาน “คู่ครอง” ให้ใช้ตั้ง 6 คำแน่ะครับ! แต่ก็นะครับ เช่นเดียวกับภาษาไทย คำต่างๆ มันก็มีความหมาย (ทั้งในทางคำศัพท์และในทางสังคม) ต่างๆ กันไป มาดูกันเลยดีกว่าครับ  คำนี้ถือว่าเป็นคำสามัญที่สุดที่สามีใช้เรียกภรรยาของตัวเอง ซึ่งถูกใช้มานานแล้วตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีระบบการจดทะเบียนสมรส โดยช่วงก่อนสมัยเมจิ ส่วนใหญ่จะเรียกว่า “ไซ”… Read more »

รู้หรือไม่? เมื่อฝนตกเพลงในห้างญี่ปุ่นจะเปลี่ยนไป

      Comments Off on รู้หรือไม่? เมื่อฝนตกเพลงในห้างญี่ปุ่นจะเปลี่ยนไป

รู้หรือไม่? เมื่อฝนตกเพลงในห้างญี่ปุ่นจะเปลี่ยนไป เพราะอะไรนั้นไปดูกันเลย เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วเจอฝนตก มีใครเคยวิ่งเข้าไปหลบในห้างกันไหมคะ แล้วทราบไหมคะว่า เมื่อฝนเริ่มตก ภายห้างญี่ปุ่นจะมีการเปลี่ยนเป็นเพลงที่เข้ากับบรรยากาศฝนตกด้วย! แต่ละห้างในญี่ปุ่นจะใช้เพลงที่หลากหลายค่ะ แต่ที่ใช้กันเยอะ มีอยู่ 2 เพลง นั่นก็คือเพลง Raindrops Keep Fallin’ on My Head และ Singin’ in the Rain นั่นเอง เพลง Raindrops Keep Fallin’ on My Head เป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง Butch Cassidy and the Sundance Kid หรือชื่อภาษาไทยว่า สองสิงห์ชาติไอ้เสือ ห้างที่เปิดเพลงนี้ก็มีหลายห้างเลยทีเดียวค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ห้างไดมารู สาขาโตเกียว ห้างโอดะคิว ห้างฮันคิว สาขาอุเมดะ ห้างฮันชิน สาขาอุเมดะ เป็นต้น ส่วนอีกเพลงที่ชื่อคุ้นหูไม่แพ้กันคือ เพลง Singin’ in the Rain ซึ่งเป็นเพลงหลักของมิวสิเคิลชื่อเดียวกัน เปิดในห้างไดมารู… Read more »

รู้หรือไม่? สตาร์บัคส์ญี่ปุ่นมีเมนูเครื่องดื่มสำหรับเด็กเล็กด้วยนะ

      Comments Off on รู้หรือไม่? สตาร์บัคส์ญี่ปุ่นมีเมนูเครื่องดื่มสำหรับเด็กเล็กด้วยนะ

รู้หรือไม่? สตาร์บัคส์ญี่ปุ่นมีเมนูเครื่องดื่มสำหรับเด็กเล็กด้วยนะ เป็นยังไงนั้นไปดูกันเลย คุณแม่ลูกอ่อนทั้งหลายมาทางนี้ค่า….ไหนใครเคยมีประสบการณ์อยากจะไปนั่งชิล ๆ จิบเครื่องดื่มอร่อย ๆ ในร้านสตาร์บัคส์แต่แล้วต้องถอดใจเพราะกังวลว่าจะหาเครื่องดื่มให้กับเจ้าตัวเล็กไม่ได้บ้างคะ? วันนี้ขอนำเสนอเมนูลับ ๆ ของสตาร์บัคส์ญี่ปุ่นที่น้อยคนนักจะรู้ว่ามีอยู่มาบอกกัน เมนูสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่มีให้เลือกระหว่างนมและโกโก้ ทั้งร้อนและเย็นพร้อมเสิร์ฟ ในเมนูดังกล่าว จะมีให้เลือกทั้งแบบร้อนขนาด 240ml และเย็นขนาด 300ml โดยใช้นมสำหรับเด็กโดยเฉพาะ หากสั่งแบบร้อนก็จะเสิร์ฟมาให้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 54℃ (ผู้ใหญ่จะเสิร์ฟที่อุณหภูมิประมาณ 66-77℃) เป็นอุณหภูมิที่เด็กดื่มได้ง่าย ส่วนแบบเย็นก็สามารถเลือกว่าจะใส่น้ำแข็งเพิ่มหรือไม่ และใช้หลอดแบบงอได้เพื่อให้เด็กดื่มได้ง่ายขึ้น ราคา 170 เยน (ไม่รวมภาษี) สำหรับเมนูโกโก้ สามารถขอเพิ่มช็อกโกแลตและคาราเมลได้ฟรี หากต้องการเปลี่ยนจากนมสดเป็นนมถั่วเหลืองเพิ่ม 50 เยน หรือถ้าอยากเพิ่มความหวานให้กับเครื่องดื่มทั้ง 2 เมนูนี้ ก็สามารถเติมน้ำผึ้งที่วางไว้ตรงเคาน์เตอร์ได้ไม่อั้นเช่นกัน be juicy! Kids เครื่องดื่มน้ำผลไม้ที่เป็นสินค้าออริจินัลจากสตาร์บัคส์ญี่ปุ่นที่ผลิตโดยคาโกเมะ มีให้เลือกระหว่างน้ำส้มและน้ำแอปเปิ้ลคั้น 100% ไม่มีน้ำตาล ไม่ปรุงแต่งสีหรือรส ราคา 190 เยน (ไม่รวมภาษี) นอกจากเมนูเครื่องดื่มแล้ว ภายในร้านยังมีเมนูที่เด็ก ๆ เลือกทานได้ เช่น โดนัทและพุดดิ้ง… Read more »

โคะอิและอะอิ ความเหมือนที่แตกต่างกับรักในภาษาญี่ปุ่น

      Comments Off on โคะอิและอะอิ ความเหมือนที่แตกต่างกับรักในภาษาญี่ปุ่น

โคะอิและอะอิ ความเหมือนที่แตกต่างกับรักในภาษาญี่ปุ่น เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย สำหรับภาษาไทย ถ้าจะพูดถึงคำว่า “รัก” เราก็คงจะนึกถึงแต่คำว่า “รัก” ใช่ไหมครับ? เอ๊ะ พูดเองก็งงเอง! แต่เอาเป็นว่าถ้าเราพูดถึงภาษาญี่ปุ่น จะมีคำที่มีความหมายว่า “รัก” อยู่ 2 คำด้วยกัน แต่กลับเป็น “รัก” ที่มีนัยยะแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ นั่นก็คือคำว่า “โคะอิ”「恋」และคำว่า “อะอิ”「愛」นั่นเองครับ “โคะอิ”…ซุรุ ฟอจูนคุกกี้~ คงจะเป็นคำคุ้นหูของชาวไทย ใหม่แกะกล่องหมาด ๆ แต่ความหมายอันลึกซึ้งของ โคะอิ คือความรักในลักษณะที่เป็นทางเดียว เสมือนเป็นแรงส่งโดยตัวของมันเอง เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ เหมือนต้องการความผูกพัน แต่ไม่ผูกพัน ฝันใฝ่ แต่ไม่คาดหวัง มีความมุ่งมั่น แต่เผื่อใจให้กับความล้มเหลว – ความรักโรแมนติก ความปรารถนา ความต้องการ ความคลั่งไคล้ ความหลงใหล เหล่านี้ล้วนเป็น “โคะอิ” ทั้งสิ้น มาถึงตรงนี้ พอจะแยกออกไหมครับเพื่อน ๆ ว่าความรักของ 2 คำนี้ แตกต่างกันตรงไหน? อย่างไรกันแน่? ถ้ายังแยกไม่ออก ก็ขอให้นึกถึงภาพความรักที่เต็มเปี่ยมด้วยแรงปรารถนา มุ่งหวัง และต้องการอยู่เสมอให้เป็นภาพแทน… Read more »

3 คำพูดน่ารักๆ เกี่ยวกับท้องในภาษาญี่ปุ่น

      Comments Off on 3 คำพูดน่ารักๆ เกี่ยวกับท้องในภาษาญี่ปุ่น

3 คำพูดน่ารักๆ เกี่ยวกับท้องในภาษาญี่ปุ่น มีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย ไม่ว่าภาษาใดในโลก ล้วนแล้วแต่สะท้อนความคิด หรือ วัฒนธรรมของชาตินั้น ๆ ไว้ในภาษาทั้งสิ้น…ภาษาญี่ปุ่นชาติที่มีความน่ารักและมีความคิดที่ซับซ้อนก็ไม่น้อยหน้า วันนี้ผมจะมาแนะนำ 3 คำพูดเกี่ยวกับ “ท้อง” ที่มีที่มาที่ไปน่ารัก ๆ ในภาษาญี่ปุ่นไว้ให้เพื่อน ๆ นำไปใช้กันนะครับ! เบะสึบะระ เกิดจากการรวมกันของคำว่า แบ่ง, แยก และคำว่า ท้อง แปลตรง ๆ เข้าใจง่าย ๆ ว่า ท้องที่แยกกัน คือแยกระหว่างของคาวและของหวาน หรือในภาษาไทยเรามักชอบพูดว่า “มีก๊อกสอง!” มักจะใช้ในเวลาที่เรากินของคาวอิ่มแล้ว แต่บังเอิ๊ญบังเอิญของหวานก็ยกมาเสิร์ฟซะงั้น จะอิ่มยังไงไหว!! ตะโกนออกไปเลยครับ “เบะสึบะระเดส!!” ฮะระทัตตะ เกิดจากการรวมกันของคำว่า ท้อง และคำว่า ยืน ในที่นี้ต้องย้อนกลับไปสู่ความคิดแบบโบราณที่คนสมัยก่อนเชื่อว่าหัวใจคนเรานั้นอยู่ที่ท้อง อารมณ์และความคิดต่าง ๆ จึงถูกส่งมาจากท้องของเรานั่นเอง ในขณะที่คำว่า ยืน มีความหมายซ้อนอีกความหมายว่า ทำให้เข้มข้น เดือดดาล「激する」จึงเป็นที่มาของคำนี้ที่แปลว่า โกรธ นั่นเองครับ รู้แบบนี้แล้ว “ผมนี่ยืนขึ้นเลยครับ!!” ฮะระเฮตตะ เกิดจากการรวมกันของคำว่า ท้อง… Read more »

3 คำ 3 ความหมายและความลุกซึ้ง ของคำว่า “หัวใจ” ในภาษาญี่ปุ่น

      Comments Off on 3 คำ 3 ความหมายและความลุกซึ้ง ของคำว่า “หัวใจ” ในภาษาญี่ปุ่น

3 คำ 3 ความหมายและความลุกซึ้ง ของคำว่า “หัวใจ” ในภาษาญี่ปุ่น เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อน ผมอยากจะขอเกริ่นสักนิดว่า ภาษาญี่ปุ่นสำหรับเราชาวไทยแล้ว เป็นภาษาที่ซับซ้อนวุ่นวายเป็นที่สุดภาษาหนึ่ง เพราะนอกจากความยุ่งยากในเชิงไวยกรณ์ที่ตรงข้ามกับภาษาไทยโดยสิ้นเชิงแล้ว ยังมีเรื่องตัวอักษร และสิ่งที่แสนจะซับซ้อน (แต่ช่างงดงาม) เป็นที่สุด คือความหมายและวัฒนธรรมที่ผูกโยงอยู่กับภาษาของพวกเขานั้น เป็นอะไรที่ไม่สามารถบรรยายได้หมด แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากจะยกเอาความซับซ้อน แต่งดงามนั้น มาบอกเล่า ขยายความให้เพื่อน ๆ ได้อ่านและเข้าใจความหมายของคำว่า “หัวใจ” ที่มีอยู่ด้วยกันถึง 3 คำเลยทีเดียวครับ ในภาษาญี่ปุ่นมีถึง 3 คำ ที่ใช้ในการอธิบายคำว่า “หัวใจ”…คำแรก คือคำว่า “ชินโซ”「心臓」หมายถึงหัวใจที่เป็นอวัยวะในเชิงกายภาพ เต้นตุบตับอยู่ในร่างกายของเรา และบ่งบอกว่าเรายังมีชีวิตอยู่นั่นเอง ถ้าบังเอิญมีเพื่อนชาวญี่ปุ่นเดินมาบอกว่า “ฉันเจ็บชินโซเหลือเกิน” ให้รีบพาเขาไปหาหมอนะครับ!! เพราะเขาไม่ได้กำลังเจ้าบทเจ้ากลอนอยู่แน่ ๆ… คำต่อมาคือคำว่า “ฮาตโตะ”「ハート」ซึ่งเป็นคำยืมที่มาจากคำว่า Heart ในภาษาอังกฤษ ซึ่งคนญี่ปุ่นใช้เพื่อสื่อความหมายคำว่าหัวใจที่เป็นรูปทรง สุดจะหวานหยดในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ใครโสดอย่าได้ไปญี่ปุ่นเชียวนะครับ จะเจ็บ “หัวใจ” ไม่รู้ตัว!! และคำสุดท้าย คือคำว่า “โคะโคะโระ”「心」ที่ซับซ้อนเป็นที่สุด เพราะถ้าให้นึกถึงคำในภาษาไทยมาเทียบ… Read more »

ไขข้องใจ? ฮกไกโดไม่มีแมลงสายจริงหรอ?

      Comments Off on ไขข้องใจ? ฮกไกโดไม่มีแมลงสายจริงหรอ?

ไขข้องใจ? ฮกไกโดไม่มีแมลงสายจริงหรอ? เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย ที่ญี่ปุ่นเขาเชื่อกันว่า “ฮอกไกโดไม่มีแมลงสาบ” เชื่อจริงจังจนถึงขนาดที่มีรายการโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง “Monday Lateshow” (月曜から夜ふかし) ลงพื้นที่โดยนำแมลงสาบใส่กล่องใสไปให้ชาวฮอกไกโดดู ผลที่ได้คือชาวฮอกไกโดตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนตัวก็เคยได้ยินมาเหมือนกันแต่ยังเชื่อในความสามารถของแมลงสาบ จึงเกิดบทความนี้ขึ้นเพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความเชื่อดังกล่าว จุดอ่อนอย่างหนึ่งของแมลงสาบคือ พวกมันไม่ทนต่อความเย็นค่ะ โดยทั่วไปแมลงสาบแพร่พันธุ์ได้ยากและไม่สามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิตํ่ากว่า 20 องศาเซลเซียส (แต่ก็มีบางครั้งที่พวกมันไม่ตายนะคะ) ดังนั้นแมลงสาบจึงไม่ค่อยอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นจัด แต่มักอาศัยอยู่ในบริเวณที่ร้อนชื้น ฮอกไกโดตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของญี่ปุ่น ในช่วงฤดูหนาวมีบางวันที่อุณหภูมิต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียสโดยเฉพาะทางตะวันออกและทางตอนเหนือ แมลงสาบจึงไม่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่หนาวจัดเช่นนี้ได้ เป็นที่มาของความเชื่อที่ว่าฮอกไกโดเป็นพื้นที่ที่ไม่มีแมลงสาบอาศัยอยู่ได้ แต่เดี๋ยวก่อน…ที่ว่ามามันจริงเหรอ? ปัจจุบันพูดไม่ได้เต็มปากแล้วว่าที่ฮอกไกโดไม่มีแมลงสาบ อาจจะมีน้อยกว่าภูมิภาคอื่นแต่ก็มีให้เห็นได้ ส่วนใหญ่จะพบที่ซัปโปโรซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและความเจริญในเกาะฮอกไกโด ปัจจัยที่ทำให้แมลงสาบมีชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิตํ่าได้ก็คือ “การใช้เครื่องทำความร้อน” นั่นเอง การติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ทำความร้อนในครัวเรือนและสำนักงานห้างร้านต่างๆ นอกจากจะให้ความสะดวกสบายกับมนุษย์แล้ว ยังต่อชีวิตให้กับพวกแมลงสาบที่ไม่ถูกกับความเย็นอีกด้วย แมลงสาบที่พบในฮอกไกโดเป็นส่วนใหญ่แมลงสาบเยอรมัน (Blattella germanica) เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ 4 ซม. แต่แมลงสาบที่มักพบในฮอกโกโดจะมีขนาดเล็กกว่าปกติครึ่งหนึ่ง และที่สำคัญคือพวกมันไม่บินค่ะ! คาดว่าเป็นเพราะสภาพภูมิอากาศ สาเหตุหลักที่แมลงสาบมาถึงฮอกไกโดได้คาดว่าเป็นเพราะการขนส่ง โดยเฉพาะการติดมากับกล่องลัง เพราะกล่องลังมีช่องว่างที่ทำหน้าที่เป็นตัวกันกระแทกอย่างดี และมีช่องว่างทำให้สามารถวางไข่ได้ง่าย จากทั้งหมดที่ได้กล่าวมาจึงสามารถสรุปได้ว่าปัจจุบันถึงจะมีน้อย แต่ที่ฮอกไกโดก็มีแมลงสาบนะ! โดยส่วนใหญ่จะอยู่ตามย่านการค้าที่มีร้านกินดื่มหรือย่านที่มีคนพลุกพลานมากกว่าตามครัวเรือน เนื่องจากมีการใช้เครื่องทำความร้อนตลอดและมีการสะสมกล่องลังที่เป็นเสมือนแหล่งอนุบาลของแมลงสาบมากกว่าที่อยู่อาศัย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนฮอกไกโดส่วนใหญ่ไม่ค่อยเจอแมลงสาบ และต่อให้เจอก็อาจจะไม่รู้ว่ามันคือแมลงสาบ แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ถ้าอยากรู้ต้องลองไปพิสูจน์ที่ฮอกไกโดดู

รู้หรือไม่? จริงๆแล้วเครื่องรางญี่ปุ่นต้องพกกันยังไง

      Comments Off on รู้หรือไม่? จริงๆแล้วเครื่องรางญี่ปุ่นต้องพกกันยังไง

รู้หรือไม่? จริงๆแล้วเครื่องรางญี่ปุ่นต้องพกกันยังไง เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย คนญี่ปุ่นก็มีเครื่องรางหรือโอมาโมริ (お守り) ที่มักพกติดตัวไว้เพื่อเป็นของขลังเหมือนคนไทย โดยดีไซน์ของเครื่องรางมีหลากหลายซึ่งบ้างมีความสวยงามจนสามารถพกติดตัวได้เหมือนเครื่องประดับเลยค่ะ นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งประเภทเครื่องรางแบบเฉพาะเจาะจงตามความต้องการของผู้ที่พกถือ ซึ่งทำให้วิธีการพกก็มีความเชื่อหลากหลายเหมือนกัน สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจหรือชอบซื้อเครื่องรางญี่ปุ่นมาพกไว้ เรามาทบทวนวิธีการพกเครื่องรางที่ถูกต้องกัน แม้คนญี่ปุ่นบางคนจะมีความเชื่อว่าถ้าพกเครื่องรางที่ได้จากศาลเจ้าคนละที่จะทำให้เทพเจ้าของศาลเจ้านั้นๆ ทะเลาะกัน แต่ในความจริงแล้ว สิ่งที่ต้องระวังโดยพื้นฐานคือห้ามนำเครื่องรางที่มีเทพเจ้าที่มีความสัมพันธ์ไม่ดี 2 องค์ไว้ด้วยกัน “เครื่องราง” เปรียบเหมือนเป็นเทพเจ้าองค์เล็กที่คอยคุ้มครองเราอยู่ และเพราะนับเป็น “เทพเจ้า” นั่นเอง ผู้ที่พกจึงต้องให้ความเคารพ การที่คิดว่าแค่พกไว้ก็ทำให้โชคดี หรือสมปรารถนาเป็นความคิดที่ผิดค่ะ เพราะ “เทพเจ้าองค์เล็ก” จะช่วยดึงคนหรือสิ่งต่างๆ ที่ดีมาให้เราต่างหาก ดังนั้น แค่พกไว้ก็ไม่ใช่ว่าจะสมหวัง เพราะต้องขึ้นอยู่กับตัวผู้ที่พกเองด้วย เครื่องรางแต่ละแบบต่างมีสถานที่ที่ควรพกไว้ซึ่งต่างกันไปตามจุดประสงค์ของเครื่องรางนั้นๆ ดังนี้ เครื่องรางด้านความรักเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเจอรักได้เมื่อไร เพราะฉะนั้นเครื่องรางด้านความรังควรถูกพกติดกับสิ่งของที่ถือติดตัวตลอด จะเป็นกระเป๋าใส่บัตร ในกระเป๋าถือ หรือสอดไว้ในสมุดจดก็ได้ เครื่องรางด้านการเรียนและสอบควรพกไว้ในเครื่องเล่นที่ใช้ฟังหรือกล่องดินสอ และมีความเชื่อว่าช่วงก่อนสอบให้นำเครื่องรางมาถือไว้ด้วยสองมือแล้วขอพรให้สอบผ่าน เครื่องรางด้านสุขภาพและครอบครัวพกติดกระเป๋าที่ถือทุกวัน หรือถ้าเป็นเครื่องรางที่เป็นแบบยาวจะห้อยไว้ที่รถเข็นเด็กก็ได้ สำหรับเครื่องรางให้โชคด้านขอบุตรหรือการคลอดอย่างปลอดภัยนั้น มีความเชื่อว่าให้เก็บไว้ในกระเป๋าที่ถือทุกวัน หรือใส่ไว้กับสายรัดท้องแล้วขอพรทุกวัน เครื่องรางขจัดเคราะห์เครื่องรางขจัดเคราะห์เป็นเครื่องรางสำหรับขจัดสิ่งไม่ดีหรือเจ็บไข้เพื่อให้มีชีวิตที่สงบสุขได้ ให้ใส่ในกระเป๋าเสื้อหรือใส่ในกระเป๋าที่ถือทุกวัน นอกจากนี้ ยังนิยมพกสำหรับปีชงตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นอีกด้วย เครื่องรางอื่นๆเครื่องรางอื่นๆ เช่นเครื่องรางที่ให้โชคทางการเงิน หรือให้มีเงินเก็บมากขึ้นนั้น นิยมใส่ไว้ในกระเป๋าเงินหรือตู้เซฟ สำหรับเครื่องรางโอฟุดะที่มีไว้เพื่อขอพรให้มีแต่ความสุขนั้น มีความเชื่อว่าควรวางไว้บนหิ้งพระหรือติดไว้ที่กำแพงหรือเสาฝั่งทิศเหนือหรือทิศใต้ โดยให้โอฟุดะหันไปทางทิศใต้หรือทางตะวันออก เพื่อขอให้… Read more »

ความลับและที่มาของคำว่า SAKANA ในภาษาญี่ปุ่น

      Comments Off on ความลับและที่มาของคำว่า SAKANA ในภาษาญี่ปุ่น

ความลับและที่มาของคำว่า SAKANA ในภาษาญี่ปุ่น เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย 魚 (さかな : Sakana) ที่แปลว่า ปลา น่าจะเป็นคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานที่ผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นส่วนใหญ่ต้องผ่านตามาแน่นอน แต่ทราบไหมคะว่าคันจิตัว 魚 สามารถอ่านว่า うお : Uo ได้อีกด้วย ถึงแม้จะเป็นคันจิตัวเดียวกันแต่เสียงอ่านต่างกันแบบนี้ แล้วมันมีวิธีการใช้ต่างกันอย่างไร และจากคำอ่านว่า Uo เปลี่ยนมาเป็น Sakana ได้อย่างไร ไปดูที่มาที่น่าสนใจของคำว่า Sakana กันค่ะ ในต่างจังหวัดบางพื้นที่ของญี่ปุ่นมีการใช้คำว่า Uo กับ Sakana ในความหมายแตกต่างกันไป อย่างเช่นในสมัยก่อน บางพื้นที่ก็เรียกปลาในแม่น้ำว่า Uo และเรียกปลาในทะเลว่า Sakana นอกจากนี้ในพื้นที่ที่เป็นภูเขา แน่นอนว่าคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นก็จะไม่ค่อยได้ทานปลาทะเล แต่จะนิยมทานปลาจากแม่น้ำแทน ซึ่งดูเหมือนว่าผู้คนในพื้นที่นั้นจะเรียกปลาที่ปรุงเป็นอาหารแล้วว่า Uo และเรียกปลาที่ยังว่ายน้ำอยู่ว่า Sakana แต่เมื่อเปรียบเทียบระหว่างภูมิภาคคันโตกับภูมิภาคคันไซ ในภูมิภาคคันไซจะใช้คำว่า Uo มากกว่าภูมิภาคคันโต โดยข้อมูลจากหนังสือสำเนียงนานิวะที่ตีพิมพ์ในสมัยเอโดะ คำว่าร้านขายปลา ในโอซาก้าจะใช้คำว่า Uoya ส่วนในเอโดะจะใช้คำว่า Sakanaya ใน Nihon Shoki หรือพงศาวดารญี่ปุ่น และ… Read more »