รู้จักกับโรงเรียนสอนวิญญาณแห่งความเป็นมิโกะ จะเป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย
ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากต้องแสวงหาอาชีพเสริมเพื่อสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ โดยหนึ่งในอาชีพเสริมที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้หญิงก็คืออาชีพมิโกะนั่นเอง
คุณโมโมยะมะ คิโยชิ ผู้สืบทอดรุ่นที่ 7 แห่งศาลเจ้าเนไกโนะมิยะ จังหวัดโอซาก้า จึงได้เปิดโรงเรียนสอนการเป็นมิโกะขึ้นที่ศาลเจ้าของตนเอง เพื่อฝึกหัดหญิงเหล่านั้นให้เป็นมิโกะที่สมบูรณ์แบบ ว่าแต่ที่โรงเรียนมิโกะแห่งนี้เค้าทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง และเหตุใดหญิงที่ใฝ่ฝันจะเป็นมิโกะจึงควรมาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เราจะไปฟังคำตอบจากคุณโมโมยะมะ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้กันครับ
ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับโรงเรียนแห่งนี้ ผมจะขอแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกับมิโกะสักเล็กน้อย มิโกะ คือ หญิงสาวที่สวมเครื่องแต่งกายสีขาวแดง ทำหน้าที่จำหน่ายเครื่องราง คอยต้อนรับดูแลผู้คนที่เข้ามากราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าชินโต และยังทำหน้าที่แสดงระบำคากุระ หรือระบำบวงสรวงเทพเจ้าตามความเชื่อของศาสนาชินโตอีกด้วย
คุณโมโมยะมะกล่าวว่า วัตถุประสงค์ที่ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมา ไม่ใช่แค่ต้องการให้ผู้เรียนเป็นมิโกะที่สมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียว แต่เรามุ่งมั่นให้ผู้เรียนกลายเป็นบุคลากรอันทรงคุณค่าของสังคมด้วย โดยที่โรงเรียนแห่งนี้จะมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของศาสนาชินโต และยังมีการฝึกภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการทำพิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อของศาสนาชินโตอีกด้วย
คุณโมโมยะมะกล่าวต่อว่า การเป็นมิโกะไม่ใช่เพียงแค่การสวมเครื่องแต่งกายของมิโกะเท่านั้น แต่ต้องเรียนรู้จิตวิญญาณแห่งการเป็นมิโกะให้ถ่องแท้ด้วย ซึ่งจิตวิญญาณที่ว่านั้นก็คือ หลักคำสอนสามประการของศาสนาชินโตที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ ได้แก่
การเคารพบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษ
การระลึกถึงชีวิตที่เทพเจ้าได้มอบให้ และ
การใช้ชีวิตให้มีความสุขโดยระลึกถึงคุณงามความดีของเทพเจ้าอยู่เสมอ
ในการทำงานหรือการใช้ชีวิตในสังคมยุคปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักพึ่งพาแต่ตัวเองโดยไม่เคยหันมองผู้คนที่อยู่รอบกาย แต่หากได้เรียนรู้จิตวิญญาณแห่งการเป็นมิโกะแล้ว ความคิดและมุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ ก็จะกว้างขึ้น และยังส่งผลให้ตัวผู้เรียนเริ่มหันมาใส่ใจผู้คนและสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการทำงานและการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม
แน่นอนว่าอาจมีคนญี่ปุ่นหลายท่านที่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย แต่ความจริงแล้วศาสนาชินโตคือศาสนาที่กำเนิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น หลักคำสอนต่างๆ จึงแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นทุกคนอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น เรามักได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ต้องมีใครสักคนเห็นการกระทำของเราอยู่แน่ๆ ดังนั้น จงทำแต่เรื่องดีๆ เถอะ” ซึ่งคำกล่าวที่ว่านั้นตรงกับหลักคำสอนของศาสนาชินโตที่ว่า “เหล่าทวยเทพกำลังเฝ้ามองคนญี่ปุ่นอยู่เสมอ” ดังนั้น แม้ท่านจะบอกว่าไม่ได้นับถือศาสนาชินโตก็ตาม แต่คำสอนของศาสนาชินโตก็ผูกติดอยู่กับชีวิตของท่านและชาวญี่ปุ่นทุกคนมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว
ปัจจุบัน ผู้หญิงที่สมัครเข้ามาเรียนในโรงเรียนมิโกะแห่งนี้มีตั้งแต่เด็กช่วงอายุประมาณ 10 ปี ไปจนถึงผู้ใหญ่อายุประมาณ 60 ปี เลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่จะให้เหตุผลที่มาเรียนว่า “อยากทำอาชีพมิโกะเพื่อหารายได้เสริม” และ “อยากเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ ให้กับชีวิต” นอกจากนี้ เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้ว ก็จะได้รับใบรับรองคุณวุฒิจากทางโรงเรียน เพื่อนำไปใช้ประกอบโปรไฟล์ในการยื่นสมัครเป็นมิโกะตามศาลเจ้าต่างๆ ต่อไป