รู้หรือไม่? จริงๆแล้วเครื่องรางญี่ปุ่นต้องพกกันยังไง เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย คนญี่ปุ่นก็มีเครื่องรางหรือโอมาโมริ (お守り) ที่มักพกติดตัวไว้เพื่อเป็นของขลังเหมือนคนไทย โดยดีไซน์ของเครื่องรางมีหลากหลายซึ่งบ้างมีความสวยงามจนสามารถพกติดตัวได้เหมือนเครื่องประดับเลยค่ะ นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งประเภทเครื่องรางแบบเฉพาะเจาะจงตามความต้องการของผู้ที่พกถือ ซึ่งทำให้วิธีการพกก็มีความเชื่อหลากหลายเหมือนกัน สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจหรือชอบซื้อเครื่องรางญี่ปุ่นมาพกไว้ เรามาทบทวนวิธีการพกเครื่องรางที่ถูกต้องกัน แม้คนญี่ปุ่นบางคนจะมีความเชื่อว่าถ้าพกเครื่องรางที่ได้จากศาลเจ้าคนละที่จะทำให้เทพเจ้าของศาลเจ้านั้นๆ ทะเลาะกัน แต่ในความจริงแล้ว สิ่งที่ต้องระวังโดยพื้นฐานคือห้ามนำเครื่องรางที่มีเทพเจ้าที่มีความสัมพันธ์ไม่ดี 2 องค์ไว้ด้วยกัน “เครื่องราง” เปรียบเหมือนเป็นเทพเจ้าองค์เล็กที่คอยคุ้มครองเราอยู่ และเพราะนับเป็น “เทพเจ้า” นั่นเอง ผู้ที่พกจึงต้องให้ความเคารพ การที่คิดว่าแค่พกไว้ก็ทำให้โชคดี หรือสมปรารถนาเป็นความคิดที่ผิดค่ะ เพราะ “เทพเจ้าองค์เล็ก” จะช่วยดึงคนหรือสิ่งต่างๆ ที่ดีมาให้เราต่างหาก ดังนั้น แค่พกไว้ก็ไม่ใช่ว่าจะสมหวัง เพราะต้องขึ้นอยู่กับตัวผู้ที่พกเองด้วย เครื่องรางแต่ละแบบต่างมีสถานที่ที่ควรพกไว้ซึ่งต่างกันไปตามจุดประสงค์ของเครื่องรางนั้นๆ ดังนี้ เครื่องรางด้านความรักเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเจอรักได้เมื่อไร เพราะฉะนั้นเครื่องรางด้านความรังควรถูกพกติดกับสิ่งของที่ถือติดตัวตลอด จะเป็นกระเป๋าใส่บัตร ในกระเป๋าถือ หรือสอดไว้ในสมุดจดก็ได้ เครื่องรางด้านการเรียนและสอบควรพกไว้ในเครื่องเล่นที่ใช้ฟังหรือกล่องดินสอ และมีความเชื่อว่าช่วงก่อนสอบให้นำเครื่องรางมาถือไว้ด้วยสองมือแล้วขอพรให้สอบผ่าน เครื่องรางด้านสุขภาพและครอบครัวพกติดกระเป๋าที่ถือทุกวัน หรือถ้าเป็นเครื่องรางที่เป็นแบบยาวจะห้อยไว้ที่รถเข็นเด็กก็ได้ สำหรับเครื่องรางให้โชคด้านขอบุตรหรือการคลอดอย่างปลอดภัยนั้น มีความเชื่อว่าให้เก็บไว้ในกระเป๋าที่ถือทุกวัน หรือใส่ไว้กับสายรัดท้องแล้วขอพรทุกวัน เครื่องรางขจัดเคราะห์เครื่องรางขจัดเคราะห์เป็นเครื่องรางสำหรับขจัดสิ่งไม่ดีหรือเจ็บไข้เพื่อให้มีชีวิตที่สงบสุขได้ ให้ใส่ในกระเป๋าเสื้อหรือใส่ในกระเป๋าที่ถือทุกวัน นอกจากนี้ ยังนิยมพกสำหรับปีชงตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นอีกด้วย เครื่องรางอื่นๆเครื่องรางอื่นๆ เช่นเครื่องรางที่ให้โชคทางการเงิน หรือให้มีเงินเก็บมากขึ้นนั้น นิยมใส่ไว้ในกระเป๋าเงินหรือตู้เซฟ สำหรับเครื่องรางโอฟุดะที่มีไว้เพื่อขอพรให้มีแต่ความสุขนั้น มีความเชื่อว่าควรวางไว้บนหิ้งพระหรือติดไว้ที่กำแพงหรือเสาฝั่งทิศเหนือหรือทิศใต้ โดยให้โอฟุดะหันไปทางทิศใต้หรือทางตะวันออก เพื่อขอให้… Read more »
ความลับและที่มาของคำว่า SAKANA ในภาษาญี่ปุ่น เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย 魚 (さかな : Sakana) ที่แปลว่า ปลา น่าจะเป็นคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานที่ผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นส่วนใหญ่ต้องผ่านตามาแน่นอน แต่ทราบไหมคะว่าคันจิตัว 魚 สามารถอ่านว่า うお : Uo ได้อีกด้วย ถึงแม้จะเป็นคันจิตัวเดียวกันแต่เสียงอ่านต่างกันแบบนี้ แล้วมันมีวิธีการใช้ต่างกันอย่างไร และจากคำอ่านว่า Uo เปลี่ยนมาเป็น Sakana ได้อย่างไร ไปดูที่มาที่น่าสนใจของคำว่า Sakana กันค่ะ ในต่างจังหวัดบางพื้นที่ของญี่ปุ่นมีการใช้คำว่า Uo กับ Sakana ในความหมายแตกต่างกันไป อย่างเช่นในสมัยก่อน บางพื้นที่ก็เรียกปลาในแม่น้ำว่า Uo และเรียกปลาในทะเลว่า Sakana นอกจากนี้ในพื้นที่ที่เป็นภูเขา แน่นอนว่าคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นก็จะไม่ค่อยได้ทานปลาทะเล แต่จะนิยมทานปลาจากแม่น้ำแทน ซึ่งดูเหมือนว่าผู้คนในพื้นที่นั้นจะเรียกปลาที่ปรุงเป็นอาหารแล้วว่า Uo และเรียกปลาที่ยังว่ายน้ำอยู่ว่า Sakana แต่เมื่อเปรียบเทียบระหว่างภูมิภาคคันโตกับภูมิภาคคันไซ ในภูมิภาคคันไซจะใช้คำว่า Uo มากกว่าภูมิภาคคันโต โดยข้อมูลจากหนังสือสำเนียงนานิวะที่ตีพิมพ์ในสมัยเอโดะ คำว่าร้านขายปลา ในโอซาก้าจะใช้คำว่า Uoya ส่วนในเอโดะจะใช้คำว่า Sakanaya ใน Nihon Shoki หรือพงศาวดารญี่ปุ่น และ… Read more »
ตำแหน่งมือและสีของแมวกวัก MANEKI NEKO มีความหมายไม่เหมือนกัน เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย Maneki Neko (招き猫) หรือ แมวกวัก เป็นหนึ่งในเครื่องรางนำโชคตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะตั้งรูปปั้นตุ๊กตาแมวกวักไว้หน้าร้าน โดยเชื่อว่าแมวจะกวักเงิน กวักทอง กวักเรียกลูกค้าเพื่อให้กิจการค้าขายเจริญรุ่งเรือง แต่คุณทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแมวกวักที่นำโชคด้านค้าขายเท่านั้น ยังมีแมวกวักนำโชคอีกหลายรูปแบบ หลากหลายสีสันที่มีความหมายแตกต่างกันออกไปอีกด้วย รูปปั้นตุ๊กตาแมวกวักโดยทั่วไปมักจะอยู่ในท่ายกมือ (ขา) ข้างเดียวขึ้นมา ราวกับว่ากำลังกวักเชื้อเชิญลูกค้า โชคลาภ เงินทอง ฯลฯ ตามของเชื่อของแต่ละบุคคล ซึ่งคล้ายคลึงกับความเชื่อเรื่อง “นางกวัก” ของประเทศไทย ในความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เชื่อว่าแมวกวักนำโชคที่ยกมือขวาจะ “เพิ่มเงินทองและโชคลาภ” มักนิยมใช้รูปปั้นตุ๊กตาแมวเพศผู้ ส่วนแมวกกวักที่ยกมือซ้ายจะ “เรียกแขก เรียกลูกค้า” ซึ่งแมวกวักทั้ง 2 แบบต่างก็มีความหมายด้านโชคลาภเงินทองในการค้าขายเช่นเดียวกัน ส่วนแมวกวักที่ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง มีความหมายเหมือนนำแมวกวักที่ยกมือขวาและซ้ายมารวมกัน คือ “เพิ่มเงินทองโชคลาภและเรียกลูกค้า” แต่ทว่า การยกมือขึ้นสองข้างพร้อมกันเป็นแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ มีความหมายในภาษาญี่ปุ่นว่า “Banzai wo suru” 「バンザイをする」(การโห่ร้องไชโย), “Oteage”「お手上げ」(การยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อแสดงท่าทางว่าเราหมดตัว/ยอมจำนนแล้ว) ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าผู้ทำกิจการค้าขายก็มักจะพูดว่า “Banzai wo suru”「バンザイをする」หรือ “Oteage”「お手上げ」ในกรณีที่กิจการร้านค้าขายไม่ดีอีกด้วย เพราะฉะนั้น แมวกวักที่ยกมือขึ้นทั้งสองข้างจึงไม่นิยมนำมาตั้งที่หน้าร้านค้าด้วยเหตุนี้เอง และมักจะนำแมวกวักสองข้างไปตั้งไว้ที่บ้านพักเสียมากกว่า ส่วนตำแหน่งการวางแมวกวักที่ถูกต้อง… Read more »
โอนิกิริ กับ โอมุสุบิ เหมือนหรือแตกกต่างกันอย่างไร ไปดูกันเลย “โอนิกิริ” เป็นอาหารญี่ปุ่นที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยทานกันใช่มั้ยคะ สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต เป็นหนึ่งในอาหารที่คนญี่ปุ่นนิยมทำใส่เบนโตะไปทานเป็นมื้อกลางวัน โดยปกติแล้ว ข้าวปั้น มักจะเรียกกันว่า “โอนิกิริ” แต่ก็ยังมีอักคำที่หมายถึงข้าวปั้นเช่นกัน คือ “โอมุสุบิ” แล้วทั้ง 2 คำนี้มีความแตกต่างกันตรงไหน? รูปร่าง? วิธีทำ? ต้นกำเนิด? หรือจะไม่ต่าง? เราลองไปศึกษาจากทฤษฎีที่น่าสนใจกันค่ะ ต้นกำเนิดของโอนิกิริค่อนข้างเก่าแก่ เล่ากันว่ามีมาตั้งแต่สมัยยาโยอิ มีการขุดค้นพบก้อนข้าวคล้ายโอนิกิริที่มีร่องรอยเหมือนเป็นการปั้นด้วยมือในซากโบราณสถานสมัยยาโยอิ แต่รูปร่างของข้าวปั้นในยุคปัจจุบันดูเหมือนจะมาจากสมัยเอโดะมากกว่า โดยในอดีตข้าวปั้นมักจะเป็นอาหารพกพาของพวกซามูไร ความแตกต่างระหว่าง “โอนิกิริ” กับ “โอมุสุบิ” มีหลากหลายทฤษฎี โดยรวมแล้วแต่ละแบบได้อธิบายไว้ดังนี้ ในส่วนของ “โอนิกิริ” กล่าวว่าเป็นคำที่ใช้เรียกกันในฝั่งตะวันตก หรือบางทฤษฎีก็ว่าเรียกกันเป็นส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น มีพื้นฐานมาจากการจับข้าวโดยใช้แรง ทำให้ได้ชื่อว่า “นิกิริเมชิ” และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “โอนิกิริ” บางทฤษฎีก็ว่าเป็นข้าวปั้นที่ปั้นโดยการใช้เครื่องมือ หรือในส่วนของหน้าตา ก็ว่าเป็นข้าวปั้นทรงกลมที่ห่อหุ้มด้วยสาหร่ายชุ่ม ๆ ทั้งก้อน ในส่วนของ “โอมุสุบิ” กล่าวว่าเป็นคำที่ใช้เรียกกันในฝั่งตะวันออก หรือบางทฤษฎีก็ว่าเรียกกันในพื้นที่จากคันโตไปยังโทไคโด ใช้เรียกข้าวปั้นที่ทำโดยสตรีชนชั้นสูงในยุคเฮอัน มีรูปทรงสามเหลี่ยม เนื่องจากในอดีตชาวญี่ปุ่นโบราณจะเชื่อว่าภูเขาคือพระเจ้า จึงได้ปั้นข้าวปั้นให้เป็นรูปร่างสามเหลี่ยมคล้ายภูเขาเพื่อที่เวลาทานจะได้เหมือนกับได้รับพรรับพลังจากพระเจ้า บางทฤษฎีก็ว่าเป็นข้าวปั้นที่ปั้นด้วยมือ… Read more »
Kumihimo ศิลปะการาถักเชือกแบบญี่ปุ่น เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีศิลปะ วัฒนธรรมเก่าแก่ต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือหัตถกรรมการถักเชือก หรือที่เรียกกันว่า “Kumihimo” (組み紐) ซึ่งหลายๆ คนอาจจะคุ้นเคยคำนี้มาจากภาพยนตร์ชื่อดัง Your name ซึ่งออกฉายในปี 2016 นั่นเอง ลองมาทำความรู้จักหัตถกรรมนี้กันค่ะ Kumihimo ศิลปะการถักเชือกแบบญี่ปุ่นนี้ คือการนำเชือกหรือด้ายไหมมาถักทอลายเป็นเชือกที่มีลวดลายหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเชือกทรงกลมหรือแบนก็ตาม ส่วนใหญ่นิยมนำมาใส่บนโอบิ (ผ้าคาดของชุดกิโมโน) หรือผูกคู่กับด้ามดาบของนักรบซามูไรในอดีต ในส่วนของวิธีการทำนั้น จะนำเชือกมามัดรวมกันแบ่งเป็นส่วนๆ โดยแต่ละส่วนนั้นจะถูกจัดวางบนอุปกรณ์ที่ใช้ถักทอหน้าตาคล้ายโต๊ะตัวเล็กๆ ที่เรียกว่า “Marudai” (丸台) แล้วเริ่มต้นถักเชือกสลับไปมาให้เกิดลวดลายตามที่ต้องการตามแบบ ถือเป็นการฝึกสมาธิอย่างมากเลยทีเดียว เพราะถ้าจัดลำดับการถักผิดพลาดไปจะทำให้ลวดลายที่ต้องการนั้นผิดเพี้ยนไปได้ ปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้การถักง่ายดายมากยิ่งขึ้น รวมถึงการอธิบายวิธีการที่เข้าใจได้ง่าย สามารถพกพาไปทำได้ทุกที่ มีทั้งแผ่นถักที่มีลักษณะวงกลมและสี่เหลี่ยมขึ้นอยู่กับแบบและลวดลายที่สนใจจะทำ แผ่นถักเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำมาจากโฟมที่มีการระบุช่องตัวเลข พร้อมคู่มืออธิบายว่าถ้าต้องการทำลวดลายไหนต้องโยกย้ายด้ายไปในทิศทางใดบ้าง ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์งานฝีมือทั่วไป ขอเตือนไว้ว่าจะได้ลวดลายเสร็จสมบูรณ์นั้น ต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างมากนะคะ ผู้เขียนขอเอาใจช่วยคนที่อยากลองเริ่มต้นทำ ผลลัพธ์ที่ได้เราจะภูมิใจมากค่า
ทำไมคนคันไซส่วนใหญ่กินเนื้อวัว? ส่วนคนโตถึงกินเนื้อหมู? เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย ถึงประเทศญี่ปุ่นจะเป็นประเทศเกาะที่ในอดีตมีอาหารหลักเป็นเนื้อปลาและสัตว์ทะเล แต่ในปัจจุบันชาวญี่ปุ่นจำนวนมากก็หันมาชอบรับประทานเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลักกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อวัวและเนื้อหมู แต่เพื่อน ๆ รู้กันรึเปล่าคะว่า วัฒนธรรมการทานเนื้อสัตว์ของชาวคันไซ หรือภูมิภาคตะวันตกของญี่ปุ่น กับชาวคันโต หรือภูมิภาคตะวันตกของญี่ปุ่นนั้นไม่เหมือนกันนะคะ จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่มีโอกาสย้ายจากคันโตมาอยู่คันไซก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะชาวคันไซนิยมรับประทานเนื้อวัวมากกว่า แถมเนื้อวัวยังมีราคาไม่แพงมาก แตกต่างจากโซนคันโตที่ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตจะมีเนื้อวัวให้เลือกไม่มาก แถมยังมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งความแตกต่างทางวัฒนธรรมการทานเนื้อสัตว์ของ 2 ภูมิภาคนี้มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นในอดีตอย่างไม่น่าเชื่อ ประวัติศาสตร์ด้านการปกครองของญี่ปุ่นในอดีตมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมการกินของคนญี่ปุ่นในปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อราว 1,400 ปีก่อน ศูนย์กลางการปกครองของญี่ปุ่นอยู่ที่เมืองนาระ และเกียวโตทางภาคตัวตะวันตกของประเทศ ซึ่งในยุคนั้นเป็นสังคมที่ราชสำนักเป็นใหญ่ โดยเวลาที่คนของราชสำนักจะเดินทาง หรือทำการจัดส่งอาหารจะใช้วัวเป็นพาหนะสำคัญ แต่การจะเดินทางจากภาคตะวันตกไปภาคตะวันออกนั้นทำได้ลำบาก เนื่องจากมีเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นสูง มีแม่น้ำขนาดใหญ่ในจังหวัดชิซูโอกะขวางกั้น แถมในยุคนั้นยังมีเถ้าถ่านของภูเขาไฟฟูจิปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้การเลี้ยงวัวที่จำเป็นต้องใช้ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ทำได้ยาก ในยุคโบราณที่ศูนย์กลางการปกครองของญี่ปุ่นอยู่ที่นาระและเกียวโต ยุคนั้นเป็นยุคที่ศาสนาพุทธมีอิทธิพล และมีความเชื่อว่าห้ามทานเนื้อสัตว์ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวก็สืบทอดอยู่มานานในสังคมญี่ปุ่นกว่า 1,200 ปี จนถึงช่วงปลายยุคเอโดะที่มีการเปิดประเทศและมีชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศอย่างกว้างขวาง ซึ่งชาวต่างชาติก็ได้นำวัฒนธรรมการทานเนื้อสัตว์เข้ามายังประเทศญี่ปุ่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบโยโกฮามะ ที่มีเมนูยอดนิยมเป็นเป็นเมนูหม้อไฟเนื้อวัว ในปีเมจิที่ 5 รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มนำวิธีการเลี้ยงหมูแบบตะวันตกเข้ามาใช้ในประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ยังไม่แพร่หลายเหมือนอย่างเนื้อวัว ยิ่งในช่วงยุคสงคราม ภาคตะวันออกของญี่ปุ่นขาดแคลนเนื้อวัวอย่างกะทันหัน ทำให้เนื้อหมูเข้ามามีบทบาททดแทนที่สำคัญ เกิดเมนูข้าวหมูทอดทงคัตสึขึ้นซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในทันที และเมื่อถึงยุคสิ้นสุดสงครามเนื้อหมูก็กลายเป็นอาหารสำคัญที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงในยุคนั้น นอกจากนี้การเลี้ยงหมูยังใช้เวลาเพียงราว 6 เดือนซึ่งถือว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับการเลี้ยงวัว และหมูยังแพร่พันธุ์ได้ดีอีกด้วย จึงทำให้การเลี้ยงหมูเป็นที่นิยมในภูมิภาคคันโตมากขึ้นเรื่อย ๆ… Read more »
ตำนานเนโกะมาตะ จากแมวชราสู่แมวปีศาจ เป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย แม้ปัจจุบันญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย แต่จริงๆ แล้วญี่ปุ่นเองก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีตำนาน เรื่องเล่าขาน หรือนิทานพื้นบ้านเกี่ยวกับปีศาจในแทบทุกจังหวัดของประเทศ โดยในสมัยโบราณคนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าปีศาจคือสิ่งมีชีวิตที่กลายร่างมาจากสรรพสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกายมนุษย์ เช่น ก้อนหิน ต้นไม้ หรือแม้กระทั่งสัตว์ต่างๆ ก็สามารถกลายร่างเป็นปีศาจได้เช่นกัน และหนึ่งในตำนานสัตว์ปีศาจที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น “เนโกะมาตะ” (猫又) หรือก็คือปีศาจแมวสองหางนั่นเอง ตามตำนานกล่าวว่าเนโกะมาตะ เดิมคือแมวที่เคยใช้ชีวิตในฐานะที่เป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ หรือแมวธรรมดาทั่วไปๆ ที่อาศัยอยู่บนภูเขา แต่เนื่องจากมีอายุที่ยืนยาวมากกว่าแมวปกติทั่วไป จึงกลายร่างเป็นแมวปีศาจเนโกะมาตะ ส่วนลักษณะรูปร่างนั้นโดยทั่วไปจะมีเขี้ยวเล็บที่แหลมคมกว่าแมวปกติ มีลักษณะร่างกายและการเคลื่อนไหวที่ต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด และอาจมีลักษณะผิดแปลกอื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับตำนานของแต่ละท้องถิ่น แต่จะมีลักษณะเด่นที่เหมือนกันคือมีหางงอกออกมาสองหาง นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่า ตำนานของเนโกะมาตะไม่ได้ปรากฏอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ในประเทศจีนเองก็มีตำนานของแมวปีศาจที่มีลักษณะเหมือนกับเนโกะมาตะเช่นกัน แต่ตามตำนานของประเทศจีนจะกล่าวเพิ่มเติมว่าแมวสีขาวจะมีโอกาสกลายร่างเป็นเนโกะมาตะมากกว่าแมวสีอื่นๆ กล่าวกันว่าในสมัยโบราณเคยมีผู้พบเห็นเนโกะมาตะปรากฏตัวอยู่บริเวณหุบเขาคุโรเบะ จังหวัดโทยามะ แต่เดิมปีศาจตัวนี้เป็นเพียงแมวแก่ชราธรรมดาที่อาศัยอยู่บริเวณภูเขาไฟฟูจิ แต่โชคร้ายเนื่องจากมีกองกำลังทหารขึ้นไปล่าสัตว์ป่าในบริเวณที่มันเคยอาศัยอยู่ มันพยายามต่อสู้กับพวกทหารเพื่อรักษาถิ่นที่อยู่ของมันไว้ แต่ท้ายที่สุดมันก็จำใจต้องหลบหนีออกจากภูเขาไฟฟูจิ และย้ายไปอาศัยอยู่บริเวณหุบเขาคุโรเบะแทน หลังจากนั้นมันก็ได้กลายร่างเป็นเนโกะมาตะ และได้เริ่มออกอาละวาดไล่ล่าฆ่าผู้คน สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นเป็นอย่างมาก จนในที่สุดมันก็ถูกพบโดยกลุ่มนักล่าสัตว์กลุ่มหนึ่ง แต่ด้วยรูปลักษณ์และท่าทีที่ดูน่าหวาดกลัว ทำให้ไม่มีนักล่าสัตว์คนไหนกล้าที่จะเข้าไปต่อสู้กับมัน หลังจากที่ยืนจ้องมองท่าทีกันอยู่ชั่วครู่ เนโกะมาตะก็ล่าถอยและหลบหนีลงจากหุบเขาไป ทำให้หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นกลับเข้าสู่ความสงบสุขอีกครั้ง และหลังจากนั้นก็ได้มีการเรียกจุดที่กลุ่มนักล่าสัตว์ได้พบเห็นเนโกะมาตะว่า “ภูเขาเนโกะมาตะ” (猫又山, Nekomatayama) (ตามภาพด้านบน) ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการปีนเขา
ความหมายอันน่าสะพรึงของ Yubikiri Genman มีความหมายอย่างไรนั้นไปดูกันเลย “ゆびきりげんまん♪ 嘘ついたらはりせんぼん飲〜ますっ♪ 指きったっ♪”“Yubikiri Genman♪ Uso Tsuitara Hari Senbon Nomasu♪ Yubi Kitta♪” คือเนื้อเพลงเกี่ยวก้อยสัญญา “ยูบิคิริ เก็นมัง” ของเด็กญี่ปุ่นที่คุณอาจเคยได้ยินมาจากในซีรีส์ละครหรือการ์ตูนอนิเมะ ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น เมื่อเด็ก ๆ จะสัญญาบางสิ่งกับเพื่อนหรือพ่อแม่ก็มักจะร้องเพลงนี้ในระหว่างเกี่ยวนิ้วก้อยกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายรักษาคำสัญญาที่ตกลงกันเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ความจริงนั้น ใครจะรู้ว่าความหมายของเนื้อเพลงและการเกี่ยวก้อยสัญญา “ยูบิคิริ เก็นมัง” มันน่ากลัวเพียงใด ย้อนกลับไปในสมัยเอโดะ หญิงขายบริการในย่านนางโลมยุคนั้นมักนิยมส่งจดหมายถึงชายผู้ซื้อบริการที่เธอรักและคิดถึงมากเป็นพิเศษ เพื่อเป็นหลักฐานแทนใจแสดงความคิดถึงต่อชายคนนั้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเธอบางคนยังยอมตัดปลายนิ้วก้อยของตนเองแนบส่งไปด้วย เพื่อแสดงออกถึงความรักและเป็นเครื่องยืนยันว่ารักนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง โดยแฝงความหมายไว้ว่า “แม้มันจะเจ็บปวด แต่ขอให้รู้ว่าฉันรักคุณมากขนาดไหน” แต่อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมดังกล่าวเป็นเพียงเทคนิคการเรียกลูกค้าให้กลับมาใช้บริการพวกเธออีกครั้งเพียงเท่านั้น มีหญิงขายบริการน้อยคนนักที่จะยอมตัดปลายนิ้วก้อยของเธอออกจริง ๆ ส่วนใหญ่มักจะส่งนิ้วปลอมให้แทน และจากนั้นมา “ยูบิคิริ” (指切) หรือการตัดนิ้ว ก็แพร่หลายสู่คนทั่วไปมากขึ้น และเปลี่ยนแปลงเป็นขนมธรรมเนียมการเกี่ยวนิ้วก้อยสัญญา หรือ “ยูบิคิริ” (ゆびきり) เพื่อแสดงออกถึงการรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน ส่วนความหมายของคำว่า “เก็นมัง” (げんまん) มาจากอักษรคันจิที่เขียนว่า “拳万” (เก็นมัง) หมายถึง… Read more »
รู้จักกับไอคิโดศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น ที่ตัวละครในอนิเมะใช้ แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ ไปดูกันเลย เพื่อน ๆ รู้หรือไม่ว่าในการ์ตูนเรื่อง Kimetsu no Yaiba หรือดาบพิฆาตอสูรนั้น ไม่ได้มีแค่ศิลปะการใช้ดาบของญี่ปุ่นอย่างเคนโด (剣道) สอดแทรกอยู่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นอีกแขนงหนึ่งที่เรียกว่า “ไอคิโด” (合気道) แฝงอยู่ด้วย โดยตัวละครที่มีทักษะการต่อสู้นี้ก็คือ ยูชิโร อสูรหนุ่มผู้ติดตามทามาโยะ ที่คอยช่วยเหลือคามาโดะ ทันจิโร ตัวเอกของเรื่องและพวกพ้องนั่นเอง ซึ่งฉากที่ยูชิโรได้แสดงฝีมือทักษะไอคิโดก็คือฉากแรก ๆ ที่ตัวยูชิโรและทามาโยะได้เจอกับคามาโดะ ทันจิโร และน้องสาวในอนิเมะ แต่ในฉากนั้นยูชิโรไม่ได้ใช้ไอคิโดเพื่อต่อต้านอสูรร้ายที่ไหน แต่กลับใช้ฟัดกับคามาโดะ ทันจิโร ด้วยความหมั่นไส้นั่นเอง นอกจากยูชิโรแล้ว ตัวละครที่โด่งดังเรื่องทักษะไอคิโดอีกคนก็คือ โทยามะ คาซุฮะ เพื่อนสาวคนสนิทของ ฮัตโตริ เฮจิ ในการ์ตูนยอดนิยมตลอดกาลอย่างเรื่องยอดนักสืบจิ๋วโคนัน หากมองเผิน ๆ แล้ว ฉากการต่อสู้ของโทยามะ คะซุฮะ ที่ใช้ไอคิโดกับฉากการต่อสู้ของ โมริ รัน ตัวละครเอกอีกตัวในเรื่องที่ใช้คาราเต้แล้ว อาจจะดูคล้ายคลึงกัน แต่ความจริงแล้ว หลักการคิดและท่าทางการฝึกฝนนั้นแตกต่างกันมาก วันนี้เราจะมาพารู้จักกับ “ไอคิโด” ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นอีกแขนงหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ไอคิโด เป็นศิลปะการต่อสู้ร่วมสมัยของญี่ปุ่นที่ยังมีประวัติศาสตร์ไม่ยาวนานนัก คิดค้นขึ้นโดยอุเอะชิบะ โมริเฮ… Read more »
ไมโกะและเกอิชาต่างกันอย่างไร? ไปดูกันเลย ถ้าพูดถึงเกียวโต หลายคนคงนึกถึงคำว่า “ไมโกะ” (舞妓) และคำว่า “เกอิชา”(芸者) หรือ เกโกะ (芸妓) พวกเธอทำหน้าที่มอบความบันเทิงทางด้วยศิลปะการแสดงให้กับแขก แล้ว “ไมโกะ” กับ “เกอิชา” ต่างกันอย่างไร? ไมโกะเปรียบเสมือนพริตตี้ในงานสังสรรค์หรือเปล่า? และเกอิชาคือนักดนตรีที่คอยบรรเลงเพลงในงานเลี้ยงนั้นใช่หรือไม่? วันนี้เราพาไปทำความรู้จักพวกเธอกัน! ไมโกะ มักจะพบเห็นได้ตาม 5 สถานที่ที่เรียกชื่อรวม ๆ ว่า “โกะคาไง” (五花街) ในเมืองเกียวโต ประกอบไปด้วย เมืองปนโตะ-โจ (先斗町), คามิชิจิ-เค็น (上七軒), เมืองมิยางะว่า-โจ(宮川町), กิออน-โคบุ (祇園甲部), และ กิออน-ฮิกาชิ (祇園東) เป็นอาชีพของผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงศิลปะร้องรำทำเพลง มอบความบันเทิงให้กับผู้ใช้บริการ ชาวญี่ปุ่นในแถบคันโตจะเรียกกันว่า “ฮังเกียวคุ” (半玉) ซึ่งหมายถึง “ไมโกะ” เช่นเดียวกัน ไมโกะ คือเด็กฝึกหัด ที่จะสามารถเข้าฝึกได้ตั้งแต่หลังเรียนจบการศึกษาชั้นมัธยมต้น ไปจนถึงช่วงก่อนอายุครบ 20 ปี นอกจากการร้องเพลง, ร่ายรำ และฝึกเล่นเครื่องดนตรีชามิเซ็นแล้ว พวกเธอยังจะต้องเรียนรู้เกี่1ยวกับการชงชา, การจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น, มารยาทและวิธีการดูแลลูกค้า… Read more »